วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

จากคนตาบอดสู่นักดนตรีกู่ฉิน


เรื่องโดย ฝานเจี้ยนผิง
บันทึกโดย หลิวฟ่าง
เรียบเรียง ชัชชล ไทยเขียว

โชคชะตาเล่นตลก

ถ้าพูดถึงฉันและกู่ฉิน คงค้องย้อนไปถึงสมัยที่ฉันยังเป็นเยาวชนอาสา (หนุ่มสาวที่ทั้งสมัครใจและถูกบังคับให้ไปเป็นเกษตรกร ในยุคหลังการปฏิวัติวัฒนธณรม)
ฉันเป็นคนซูโจวโดยกำเนิด ปี 1969 ได้ลงไปเป็นเยาวชนอาสา ตอนนั้นอายุได้16 ได้ทำงานที่หน่วยทหารหนานทง อยู่ทำไร้ไถนาได้สามปี ก็ถูกบ้ายไปที่หน่วยทหารกวางตุ้ง ทำงานในโรงพยาบาลทหารจี่หนาน ตอนนั้นฉันได้เอาฮาร์โมนิการ์สามตัวและต้าเจิ้งฉินไปด้วย
ฉันรักในเสียงดนตรีตั้งแต่เด็ก นี่ก็เป็นเพราะได้มากจากคุณพ่อ ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ได้หากินบนสายดนตรี แต่ก็เป็นคนที่ติสต์มากคนหนึ่ง ท่านเป่าฮาร์โมนิกาและตี๋จึได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ฉันก็หยิบๆจับๆออร์แกน เปียโน หยางฉินและกีตาร์นิดได้หน่อย พวกนี้ฉันเรียนเองหมด แล้วก็ยังมีการเต้นรำด้วย ต่อมาฉันได้ไปทำงานที่หน่วยทหารซานตง ฉันและสามี เพราะว่ามีงานอดิเรคเหมือนกันๆ ก็เลยได้รู้จักกันที่นี่ ปี1985 ฉันถูกย้ายไปทำงานที่บ้านเกิดที่ซูโจว เป็นหมอในโรงพยาบาลสำหรับผู้เกษียรอายุ อีก2ปีต่อมาสามีก็ถูกย้ายมาซูโจวเหมือนกัน ตามจริงชีวิตก็น่าจะดีขึ้น แต่อยู่ๆตาของฉันก็ผิดปกติ การมองเห็นแย่ลงกะทันหัน มือไม้คว้าอะไรไม่ได้เลย จากการตรวจ หมอบอกว่าตาของฉันเกิดจากพิษในอาหาร ส่งผลให้เส้นเลือดบริเวณม่านตาหดตัว ดูจากภายนอกแล้วเหมือนไม่เป็นอะไร ก็เหมือนกับกล้องถ่ายรูปที่เลนส์ก็ดูใสปกติ แต่ฟิล์มข้างในเสียไปแล้ว ทำให้รับภาพอะไรไม่ได้เลย แต่ว่าอาหารชนิดไหนที่ทำลายดวงตาของฉัน วันนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ เลยต้องยอมรับชะตากรรมเสีย แต่ฉันเพิ่งจะ30 ลูกก็เพิ่งเข้าอนุบาล อยู่ๆตามามองไม่เห็น นี่มันเหมือนตกนรกทั้งเป็นชัดๆ ต่อมาฉันได้โทรไปปรึกษาหลายๆที่ และก็เคยไปตรวจที่เซี่ยงไฮ๊
ตอนนั้นอาการยังไม่รุนแรงมาก ไม่ถึงขนาดมองอะไรไม่เห็นเลย ประมาณว่าวันฟ้าใสเห็นฟ้าครึ้ม วันฟ้าครึ้มก็เห็นเป็นกลางคืนเลย ยังพอแยกแยะถนนหงทางได้อยู่ แต่ถ้าตกดึกจริงๆก็มองอะไรไม่ได้แล้ว ต้องอาศัยมือคลำหาเอา ไม่กล้าออกไปไหน มีครั้งหนึ่งไปปักกิ่ง เห็นประกาศว่า สามารถรักษาอาการป่วยของฉันได้90% ตอนนั้นดีใจมาก มีหวังแล้ว ฉันตกลงกับสามีว่าจะยืมเงินก้อนหนึ่งไปรักษาที่ปักกิ่ง พอไปถึงกว่าจะหาคลินิคเจอก็ทำเอาเหนื่อย แต่สถานที่นั้นกลับดูไม่ทันสมัยในสายตาฉันเลย ฉันเองก็เคยทำงานที่โรงหมอ ฉันเลยถามวิธีการรักษา ทางนั้นกลับบอกว่าเป็นความลับเปิดเผยไม่ได้ ฉันเลยมองๆดูตัวยาและเครื่องมือที่พวกเค้าใช้ ฉันก็รู้ได้ทันทีว่าที่นี่ไม่มาตราฐาน ก็เลยรีบออกมา ระหว่างเดินทางกลับก็รู้สึกถึงความรันทดในชะตากรรม ตอนนั้นก็พูดอะไรไม่ออกแล้ว
กลับถึงซูโจว ฉันตระหนักได้ว่าตาของฉันหมดหวังจริงๆแล้ว มันทรมาณใจมาก มองโลกในแง่ร้ายขึ้นทุกวันๆ และเพื่อให้ลืมเรื่องพวกนี้ฉันถึงได้เริ่มเรียนกู่ฉิน พูดได้เลยว่าถ้าตาไม่บอดก็ไม่คงไม่ได้เรียนหรอก สำหรับฉันแล้วกู่ฉินเหมือนกันดวงดาวในโลกอันมืดมิด ประหนึ่งเป็นดวงดาวที่ช่วยชั้นให้พ้นจากทะเลแห่งความทุกข์เลย

ทุกข์และสุขในการเรียนกู่ฉิน

เมื่อกี้พูดถึงสมัยที่ฉันเรียนต้าเจิ้งฉิน หลายคนไม่รู้ว่าเป็นไง มันเป็นเครื่องดนตรีญี่ปุ่น เวลาเล่นมือขวาดีดสาย มือซ้ายกดตามเสียงที่ต้องการ ก็คล้ายๆกับกู่ฉิน
ได้เครื่องนี้มาก็ถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญมาก ตอนนั้นมีการบุกทำลายบ้านเจ้าของที่ดิน แต่เจ้าเครื่องนี้กลับไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย คือถ้าสายขาดหรืออะไรหายไปนิดเดียวก็เล่นไม่ได้เลย ฉันเลยเอามันมาเรียนเอง ก็พอได้ ซึ่งก็เป็นตัวช่วยที่ให้ฉันเรียนกู่ฉินได้ง่ายขึ้น แต่กู่ฉินยังไงก็ยากอยู่ดี
ครั้งหนึ่งฉันซื้อแผ่นกู่ฉิน “ลำนำกว่างหลิง” โดยบังเอิญ จากไม่เคยได้ยินกู่ฉินมาก่อน เสียงที่ก้องกังวานมีความเศร้านิดหน่อย ทำให้ผู้ฟังได้ยินอะไรมากกว่าเสียง ซึ่งก็คล้ายกับสภาพจิตใจของฉันในตอนนั้นมาก ตอนนั้นเพื่อนฉันซื้อกู่ฉินตัวละ2500บาทมาฝากจากซูโจว แต่ไม่มีครูก็เลยไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อน ฉันโทรไปถามตามศูนย์วัฒนธรรมต่างๆ ไม่มีครูกู่ฉินเลยซักที่ อยากจะเรียนเองก็หาซื้อหนังสือสอนไม่ได้ ต่อมาฉันมาดูเทปกู่ฉินที่ซื้อมา เห็นชื่อ กงอี เลยรู้ว่าท่านเป็นนักดนตรีในวงดนตรีจีนเซี่ยงไฮ้ ก็เลยเขียนจดหมายขอฝากตัวไปเป็นศิษย์ อ. กงอีกตอบว่า ตอนนั้นหนังสือเรียนกู่ฉินหายากมาก ตอนนี้ อ. กงจะออกหนังสือกู่ฉินก็ลำบาก เพราะโน้ตกู่ฉินไม่รู้จะพิมพ์ออกมายังไง อ. กงเลยแนะนำโน้ตพื้นฐานมาในจดหมายพอให้รู้จักบ้าง และ อ. กงได้พิจารณาถึงความไม่สะดวกของฉัน เลยแนะนำครูกู่ฉินที่ซูโจวให้ ตอนนั้นฉันและสามีได้จูงมือลูกน้อยที่เพิ่งเข้าอนุบาลไปหาครูกู่ฉินด้วยกัน ครุกู่ฉินของฉันคือ อ. วังเจ๋อและ อ. เย่หมิงเพ่ย ต่อมาพวกท่านเห็นว่าฉันตาไม่ดี เลยขอเป็นคนไปสอนเองที่บ้านดีกว่า
และเนื่องจากพวกท่านอายุมากแล้ว ฉันรู้สึกไม่ดีที่จะให้เดินทางมาเองแบบนี้ ก็เลยขอร้องว่าให้พวกท่านไม่ต้องมาแล้ว ขอให้ฉันลองดีดเองดีกว่า หลังจากนั้นฉันก็เรียนเองจนเล่นได้สิบกว่าเพลง แต่ก็รู้สึกว่าพัฒนาการไม่ค่อยดีนึก วันหนึ่ง อ. เย่มาเยี่ยมที่บ้าน ก็พบว่าเทคนิคพื้นฐานไม่ถูกต้อง เล่นผิดจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว แก้ก็แก้ไม่หาย ฉันเลยหยุดดีดกู่ฉินไปหนึ่งปีเต็ม แล้วก็ค่อยๆลืมไอที่เรียนผิดไปให้หมด ไม่นานหนังสือของ อ. กงอีก็ได้ตีพิมพ์ ท่านได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์จกเซี่ยงไฮ๊มาให้ฉันเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นหนังสือเรียนกู่ฉินเล่มเดียวที่หาได้ตอนนั้น หลังจากนั้นฉันก็เริ่มกลับมาดีดกู่ฉินอีกครั้ง
สายตาฉันยังพอเห็นบ้าง ตอนนี้ฉันก็เหมือนกันรถที่ไกล้น้ำมันหมด ต้องแข่งกับเวลา ฉันเลยต้องลงแรงมากขึ้นหลายเท่าตัว ก่อนจะถึงวันที่น้ำมันจะหมดจริงๆ ฉันเร่งอ่านหนังสือที่สำคัญที่สุด ยิ่งอ่านยิ่งพบว่ากู่ฉินมันมากกว่าดนตรีจริงๆ
แต่ด้วยความเร่งรีบทำให้หลายครั้งฉันได้รับบาดเจ็บ จากการเดินชนของรอบๆตัว จนบาดเจ็บเลือดตกยางออกหลายต่อหลายครั้ง ทำเอาสามีอดเป็นห่วงไม่ได้ ฉันออกไปไหนไม่ได้ บางครั้งก็อยากจะแบ่งเบาภาระงานบ้านให้สามี เลยจะทำผัดผัดให้ หยิบผักไม่ลงลงกะทะไม่ว่า ทำเอาเสื้อติดไฟเป็นรูโบ๋ก็ยังไม่รู้ตัว สามีรู้สึกว่าอันตรายมากเลยไม่ยอมให้ฉันเข้าครัวอีกเลย ถ้าอุ่นอาหารนิดหน่อยก็ให้ใช้เตาไฟฟ้าแทน
เจ็บปวดก็เจ็บปวด แต่พอมีกู่ฉิน ฉับได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง จากการแนะนำของ อ. กงอี ทำให้ฉันมีพัฒนาการที่ดีขึ้น เพื่อนๆและคนไกล้ชิดเห็นไอบอดเล่นกู่ฉินได้ก็ตกใจกันใหญ่ หลายคนไม่เรียนเองก็ส่งลูกไปเรียน ฉันที่ตาบอดที่เริ่มต้นด้วยความลำบาก ก็เริ่มรับลูกศิษย์ที่สนใจ มีหลายคนที่บรรเลงได้ดีมากฉันก็ดีใจ สิบกว่าปีมานี้กู่ฉินเติมเต็มชีวิตให้ฉัน ในเวลาเดียวกัน กู่ฉินก็ทำให้ฉันเห็นคุณค่าและมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ตอนนี้ฉันนึกถึงบีโทเฟ่นทีหูหนวก และอาปิ่งมือเอ้อร์หูที่ตาบอด ก็นับว่าฟ้ามีตาที่ทำให้คนพิการอย่างพวกเรา ได้รับรู้ถึงความสุขที่คนอื่นมองไม่เห็น

ความยุติธรรมในชีวิต

ฉันว่าฟ้ามีความยุติธรรม แต่ความเสียดายที่ใครก็นึกไม่ถึงคือ ฉันเกิดที่ซูโจว แต่ฉันยังไม่เคยไปทะเลสาปซีหูเลย ไม่ได้เห็นบ้านแบบจีนหลายๆที่ ไม่ได้เห็นเงาจันทร์ที่อาปิ่งทิ้งผลงานไว้ ตอนนี้ซูโจวปรับเปลี่ยนไปมากก็ไม่ได้ดู นั่นก็เพราะว่าตาฉันมองไม่เห็นแล้ว ถึงกระนั้นก็ตามฉันก็ยังรู้สึกว่าชีวิตยังได้รับความยุติธรรมอยู่
ฉันรู้สึกว่าความยุติธรรมสูงสุดที่ฉันได้รับคือ ฟ้าทำให้ฉันได้เจอกับครูที่ดี ตอนฉันเจออุปสรรคในการเรียนหลายต่อหลายครั้ง ก็ได้ อ. กงอีคอยเป็นกำลังใจให้อยู่เสมอ ไม่งั้นฉันคงเล่นกู่ฉินมาไม่ได้ถึงทุกวันนี้แน่ๆ
ฟ้ายังมอบสามีที่ดี ลูกที่น่ารักให้ฉัน ลูกไม่เพียงเป็นไม้เท้าให้ฉัน การบ้านจากโรงเรียนก็ไม่เคยให้แม่ต้องปวดหัว ตอนนี้เค้าจบ ป. โทจากมหาวิทยาลัยตงหนาน ก็ได้ไปทำงานที่ธนาคารคมนาคมซูโจว หาเงินช่วยเหลือครอบครัวได้แล้ว สามีของฉันคือคู่ชีวิตที่ฟ้าประทานให้ เค้าเป็นคนซานตง สูงเมตรแปดสิบกว่า ตาโตคิ้วหนา ทำงานเป็นตำรวจมาตลอด ฉันยังถูกพี่สาวน้องสาวแซวอยู่บ่อยๆว่า ระวังโดนสาวคนอื่นแย่งสามีไปนะ ฉันหัวเราะ ถ้าเป็นของของฉัน ยังไงมันก็ไม่ไปไหน ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะรั้งเค้าไว้ ที่จริงลึกๆฉันรู้สึกทำให้เค้าลำบากมากกว่า ยี่สิบกว่าปีมานี้ ให้ผู้ชายที่ไม่เคยทำงานบ้านมาก่อนต้องมารับผิดชอบทั้งหมด ทำเอาระบมไปทั้งตัว ถ้าฉันเป็นผู้หญิงปกติ ชีวิตเค้าคงไม่ต้องมาลำบากขนาดนี้หรอก เค้าบอกว่าเค้าสนับสนุนการเรียนกู่ฉินของฉัน เค้าเห็นสิ่งที่ผู้หญิงหลายคนไม่มี ฉันรู้สึกขอบคุณกู่ฉิน ที่ทำให้ฉันค้นพบตัวเอง และทำให้ฉันรู้สึกมีคุณค่า


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น